วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเปลี่ยนหน้า Wall เป็นแบบ Timeline บน Facebook


เชื่อว่าหลายท่านคงได้ใช้ facebook แล้วเห็นเพื่อนๆใช้หน้าโปรไฟล์หน้าตาใหม่ อย่าง Timeline ซึ่งเป็นหน้าตาแบบใหม่หมดจดของ facebook ซึ่งหน้าตาใหม่จะบอกถึงตัวตนของเราในช่วงเวลานั้นๆ นี่เอง วันนี้เราจะมาปรับเปลี่ยนให้เป็นหน้าตา Timeline พร้อมกัน แต่สำหรับผู้ที่เห็นแล้วไม่ชอบก็ไม่ต้องทำตามขั้นตอน แต่ลองอ่านดูเพื่อศึกษากันเลยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

 ขั้นตอนการเปลี่ยนหน้าโปรไฟล์ facebook เดิม ให้กลายเป็นแบบใหม่ Timeline


1. ให้ทำการ Login เข้าสู่ระบบบน facebook.com ให้เรียบร้อย

2. เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ http://www.facebook.com/about/timeline


3. คลิกที่ปุ่ม Get Timeline ซึ่งเป็นปุ่มสีเขียวๆตามลูกศรนี้  แค่นี้โปรไฟล์ของคุณก็จะกลายเป็นหน้าโปรไฟล์แบบ Timeline แล้ว



วิธีการจัดการ Timeline เบื้องต้น


เลื่อนไปข้างล่างของหน้า timeline หน่อยก็จะเจอหน้าโพสสถานะของเราในรูปแบบกล่อง timeline ดังรูปด้านบน หากต้องการลบหรือซ่อนสถานะนี้ก็สามารถทำได้ โดยเลื่อนเมาส์ไปชี้ที่ดินสอ แล้วคลิกเลือกการแก้ไขที่ต้องการ สามารถแก้ไขทั้งเปลี่ยนแปลงวันเวลา เพิ่มข้อมูลเรื่องสถานที่  , ลบ , ซ่อน หรือหากเจอคนอื่นโพสและเป็นสแปม ก็เลือกรายงานว่าเป็นสแปมได้ทันที ซึ่งรายการทั้งหมดนี้จะอยู่ในไอคอนรูปดินสอนี้ดังรูปบน



แต่ถ้าหากคุณเห็นว่ารูปนี้ดูดีและอยากให้สถานะนี้ดูเด่นขึ้น ให้คลิกที่รูปดาว แค่นี้ข้อความใน timeline จะขยายจนเด็มความกว้างของ timeline ให้เด่นมากขึ้น

สำหรับคนที่ได้ลองแล้วและไม่ชอบหน้าตาTimeline อยากได้หน้าตาเดิมทำอย่างไรดี?




ทำไม่ได้และไม่สามารถกลับมาเป็นหน้าโปรไฟล์เดิมอย่างเก่าได้  เนื่องจาก Facebook บังคับให้ผู้ใช้งานทุกคน เปลี่ยนหน้าโปรไฟล์เป็นแบบ Timeline ทั้งหมด แต่ก็พอมีทางแก้บ้างเมื่อเว็บไซต์ zdnet ได้เสนอวิธีที่จะให้ไม่แสดงเป็นหน้า timeline ก็คือ ให้เข้าชมโปรไฟล์ผ่าน Internet Explorer  7 แทน ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นเก่า เพราะ timeline ไม่สนับสนุนเว็บบราวเซอร์ IE ที่ต่ำกว่าเวอร์ชั่น 8 นั่นเอง แต่อย่าลืมว่า Internet Explorer 7 ที่ว่านี้ เป็นเวอร์ชั่นที่มาพร้อมกับ Windows Vista หรืออัพเกรดจาก IE6 บน Windows XP ในขณะที่ Windows7 จะมาพร้อมกับ IE8 เลย ดังนั้น ใครใช้ Windows7 จะดาวน์เกรด IE8 กลายเป็น IE7 อาจลำบากหน่อย

และทั้งหมดนี้คือขั้นตอนเปลี่ยนหน้าตาโปรไฟล์ Facebook ให้เป็นหน้าตาใหม่ Timeline ลองศึกษาดูและหากอัพเกรดเป็น Timeline แล้ว ลองใช้บ่อยๆก็จะชินเองละจ้า

3G

เมื่อก่อนเราใช้โทรศัพท์เป็นโทรศัพท์ คือใช้โทรได้อย่างเดียว นั้นเรียกว่ายุค 1G พอยุค 2G โทรศัพท์ก็สามารถถ่ายรูปได้ ส่งข้อความได้ ส่งอีเมล์ได้ แต่ยังติดขัดอยู่ในเรื่องของสัญญาณติดๆ ขัดๆ เวลาเคลื่อนไหว ส่วน 3G จริงๆ แล้วก็คือระบบโทรศัพท์ที่พัฒนาอีกขั้นหนึ่งให้มีการเชื่อมต่อตลอดเวลา ในเรื่องของข้อมูล เฉพาะฉะนั้นในด้านการเชื่อมต่อข้อมูลจะดีกว่า อีกทั้งยังไม่ได้คิดราคาตามเวลาการใช้ แต่จะคิดตามอัตราการโหลดข้อมูล และมีความเร็วในการใช้งานที่มากขึ้น เพราะฉะนั้นโทรศัพท์ในยุค 3G จึงไม่ใช่แค่เพียงโทรศัพท์อีกต่อไป 3G ทำให้การพูดคุยสามารถเห็นหน้ากันได้ หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของซอฟท์แวร์ก็จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในโทรศัพท์ ก็คืออีกสักหน่อยโทรศัพท์อาจจะส่งสัญญาณให้ควบคุมสิ่งของที่บ้าน เช่น ส่งให้เปิดปิดตู้เย็น เปิดปิดหม้อหุงข้าว เป็นต้น หรือข้อมูลอะไรต่างๆ ที่มีพื้นที่การเก็บข้อมูลมากๆ 3G ก็จะให้ประโยชน์เหล่านี้นั้นเอง อย่างเช่น แผนที่เราก็สามารถดาวน์โหลดได้จากอินเตอร์เนตเข้ามาที่โทรศัพท์โดยผ่านระบบ 3G นี้ได้เลย

เทคโนโลยีใหม่ 

       คำว่า 3G ในเรื่องของโทรศัพท์ก็คือมาตรฐานการพัฒนาซึ่งแบ่งเป็นยุคๆ ตั้งแต่ยุค 1G ที่โทรศัพท์เป็นแบบเซลลูล่าอันใหญ่ๆ ใช้สัญญาณอนาลอก หรือสัญญาณคลื่นวิทยุซึ่งเกิดในปี 1981 ยุคต่อมาคือ 2G เริ่มในปี 1992 โดยใช้ระบบดิจิตอล คือการนำสัญญาณเสียงมาบีบอัดให้เล็กลงจนเป็นสัญญาณอิเล็กโทรนิค ต่อมาในปี 2001 ก็เริ่มมีการใช้โทรศัพท์ 3G ที่ญี่ปุ่นเป็นที่แรกที่นำระบบ 3G เข้ามาใช้จนถึงทุกวันนี้ จุดเด่นของ 3G คือรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น ส่วนจุดอ่อนของ 3G คือ การเปลี่ยนจาก 2G ปัจจุบันในประเทศไทยเรานั้นน่าจะเรียกว่าระบบ 2.9G คือจากระบบ 2G เป็น 2.5G จนมาเป็น 2.9G เช่น สามารถถ่ายภาพแล้วก็อัฟเดตขึ้น Facebook ได้เลย แต่ก็ยังต้องคอยอยู่ดี แต่ถ้าเป็น 3G แล้วก็จะเร็วขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นก็เลยถือว่ามันไม่ได้ตอบสนองโจทย์ทั้งหมด เพราะถ้าจะพัฒนาระบบทั้งหมดให้เป็น 3G ต้องใช้งบลงทุนมากมายมหาศาล แต่สิ่งที่ได้มาบางทีอาจจะไม่คุ้มกับการใช้งานจริง ในส่วนของประเทศที่ใช้ 3G มานานแล้วเขามองว่าจะเปลี่ยนเป็นระบบ 4G กันแล้ว 4G เป็นเหมือนการสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกๆ 10 ปี

    4G มีลักษณะแตกต่างจาก 3G คือ ในเรื่องของการเชื่อมต่อแบบเคลื่อนไหวไร้รอยต่อ 4G เป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ หรือเป็นเส้นทางด่วนสำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยการลากสายเคเบิล โดยระบบใหม่นี้จะสามารถใช้งานได้แบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติ การเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three-dimensional) ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเอง นอกจากนั้น สถานีฐาน ซึ่งทำหน้าที่ในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง และมีต้นทุนการติดตั้งที่แพงลิ่วในขณะนี้ จะมีให้เห็นกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับหลอดไฟฟ้าตามบ้านเลยทีเดียว

     สำหรับ 4G จะสามารถส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายด้วยระดับความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้นถึง 100 เมกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งห่างจากความเร็วของชุดอุปกรณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่ระดับ 10 กิโลบิตต่อวินาที นอกจากนี้ การพัฒนาต่างๆ ที่ ระบบ 3G รองรับ ระบบ 4G ก็จะรองรับในเวอร์ชั่นที่สูงกว่า อย่างเช่น การใช้งานมัลติมีเดียที่ดีขึ้น การรับส่งข้อมูลในรูปแบบภาพเคลื่อนไหวที่ไหลลื่นกว่า การเข้าถึงข้อมูลที่เป็นสากลและความสามารถในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ รูปแบบต่างๆ ได้ ผู้ที่อยู่ในแวดวงการอุตสาหกรรมต่างยังลังเลที่จะคาดการณ์ ทิศทางที่เทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้จะเป็นไป แต่ก็คาดว่าการพัฒนาของ ระบบ 4G ได้รวมเอาความสามารถในการค้นหาสัญญาณเครือข่ายได้ทั่วโลกเข้าไว้ ด้วย ระบบ 4G อาจจะเชื่อมต่อโลกทั้งใบและสามารถกระทำได้ในทุกที่ไม่ว่าจะอยู่บนหรือแม้จะอยู่เหนือพื้นผิวของโลกได้อย่างแท้จริง



 นวัตกรรม 3G และ 4G

      3G มาไม่ทันไร 4G ก็ออกมาอีกแล้ว แต่มีเทคโนโลยีหนึ่งที่ไม่เคยเก่าและไม่เคยตกรุ่นเลย อีกทั้งยังเป็นสุดยอดเทคโนโลยี สุดยอดนวัตกรรม จะกี่หมื่นกี่แสนล้านปีก็ยังใหม่อยู่เสมอ หรือจะต่อไปในอีกแสนล้านปี ก็รับประกันได้ว่ายังใหม่เสมอ นั่นก็คือ ตัวของเรานี่แหละ ซึ่งประกอบด้วย กายกับใจ นี่คือสุดยอดนวัตกรรมสุดยอดของโลกที่จะหาใดมาเปรียบ ไม่ว่าเทคโนโลยีใดก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะการบรรลุธรรมนั้นต้องอาศัยกายมนุษย์เท่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต้องมาเกิดบนโลกได้กายมนุษย์ แล้วบำเพ็ญเพียรจึงจะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เทคโนโลยี 3G หรือ 4G นั้นแม้จะมีความเร็วมากมายเพียงใด ก็เป็นเพียงความเร็วในการส่งข้อมูล เช่น ดาวน์โหลดหนังเรื่องหนึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที แล้วเราต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการนั่งดูหนังเรื่องนั้น 3G หรือ 4G เป็นพียงเทคโนโลยีที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล แต่ไม่เคยมีใครเอ่ยถึงความเร็วในการรับรู้ข้อมูล  เช่น เราโหลดหนังเรื่องหนึ่งใช้เวลา 2 นาที แต่เราต้องใช้เวลาในการดูถึง 2 ชั่วโมง จะทำให้การดูเร็วขึ้นโดยการเพิ่มความเร็วก็ไม่ได้ เดี่ยวตาลาย งงเอา

     แต่ถ้าเป็นเทคโนโลยีทางใจแล้วล่ะก็จะข้ามพ้นขีดจำกัดตรงนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นอกาลิโก คำว่าอกาลิโก มีความหมาย 2 นัยคือ นัยแรก หมายถึง ความเร็วในการรับส่งข้อมูลต้องบอกว่าไร้ขีดจำกัด ยกตัวอย่างเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด แว๊บเดียวก็สามารถระลึกได้ไม่รู้กี่พันชาติ อีกทั้งการรับส่งข้อมูลและการรับรู้ข้อมูลประสานเป็นเนื้อเดียวกัน 3G หรือ 4G ทำอย่างนี้ได้รึเปล่า อีกนัยหนึ่งคือว่า สามารถรับรู้ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต  ซึ่งด้านนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดสามารถทำได้เลย นี่แหละอกาลิโก

สปายแวร์ (spyware)


ปัจจุบันการใช้งานอินเทอร์เน็ตนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายมากขึ้น อินเทอร์เน็ตจึงกลายเป็นแหล่งโฆษณาสินค้าและบริการแหล่งใหญ่ และผลที่ตามมาอีกประการหนึ่งคือ สปายแวร์ หรือ แอดแวร์ กลายมาเป็นสิ่งที่เป็นปัญหาตามมามากขึ้น ในบางครั้งที่เครื่องของคุณเกิดปัญหาขึ้น คุณจะพบว่ามันอาจเกิดจากสปายแวร์ที่เข้ามาติดตั้งอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่คุณไม่รู้ตัวเลย
สปายแวร์คืออะไร
          แม้จะชื่อว่า สปายแวร์ แต่ไม่ได้มีความหมายลึกลับเหมือนอย่างชื่อ แต่กลับถูกใช้สำหรับการโฆษณาประชาสัมพันธ์เสียมากกว่า ในอันที่จริง สปายแวร์จะได้รับความรู้จักในชื่อของ แอดแวร์ด้วย ดังนั้นคำว่าสปายแวร์จึงเป็นเพียงการระบุประเภทของซอฟต์แวร์เท่านั้น ส่วนความหมายที่แท้จริง สปายแวร์ หมายถึงโปรแกรมที่แอบเข้ามาติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่ผู้ใช้อาจไม่ได้เจตนา แล้วเป็นผลให้สปายแวร์กระทำสิ่งต่อไปนี้ เช่น
          - อาจส่งหน้าต่างโฆษณาเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา(ป๊อบอัพ) ขณะที่คุณใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่
          - เมื่อคุณเปิดเว็บบราวเซอร์ เว็บบราวเซอร์จะทำการต่อตรงไปยังเว็บไซต์หลักของตัวสปายแวร์ที่ถูกตั้งค่าให้ลิ้งก์ไป
          - สปายแวร์อาจทำการติดตามเว็บไซต์ที่คุณเข้าไปเยี่ยมชมบ่อยๆ
         - สปายแวร์บางเวอร์ชั่นที่มีลักษณะรุกรานระบบจะทำการติดตามค้นหา คีย์ หรือ รหัสผ่าน ที่คุณพิมพ์ลงไปเมื่อทำการ log in เข้าแอคเคาน์ต่างๆ

ปัญหาจากสปายแวร์ 
          เมื่อสปายแวร์ได้แอบเข้ามาติดตั้งอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว มันจะพยายามรัน process พิเศษบางอย่างซึ่งจะเป็นผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณทำงานช้าลงหรืออาจทำการเข้าสู่เว็บไซต์ต่างๆได้ช้า หรืออาจเข้าสู่เว็บไซต์ที่ต้องการไม่ได้เลย นอกจากนี้ ยังส่งผลเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของข้อมูลส่วนบุคคล (privacy) ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย
          - คุณไม่สามารถทราบได้เลยว่าข้อมูลที่ถูกนำไปมีอะไรบ้าง
          - คุณไม่อาจทราบได้เลยว่าใครเป็นผู้นำข้อมูลเหล่านั้นของคุณไป
          - และคุณก็จะไม่ทราบเช่นกันว่า ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้อย่างไรบ้าง

ข้อสังเกตเมื่อมีสปายแวร์เข้ามาติดตั้งอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ 
          โดยทั่วไปสามารถสังเกตได้จากอาการผิดปกติดังนี้ (หากมีอาการใดอาการหนึ่งปรากฏ ก็สามารถระบุได้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณติดสปายแวร์เข้าแล้ว)
          - คุณจะพบว่ามีหน้าต่างเล็กๆ ที่เป็นโฆษณาป๊อบอัพขึ้นมาเองบ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน
          - เมื่อคุณต้องการเข้าสู่เว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งและพิมพ์ที่อยู่แอคเคาน์ (URL) ลงไปอย่างถูกต้องแล้วแต่เว็บบราวเซอร์จะเข้าสู่เว็บไซต์ที่สปายแวร์ได้ตั้งไว้ และแสดงหน้าเว็บเหล่านั้น แทนที่จะเข้าไปยังเว็บไซต์ที่คุณต้องการ
          - คุณจะสังเกตเห็นว่ามีแถบเครื่องมือใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็น หรือไม่คุ้นเคยเกิดขึ้นบนเว็บบราวเซอร์ของคุณ
          - บริเวณ task tray ในส่วนแสดงการเปิดโปรแกรมที่กำลังรันอยู่ด้านล่างของหน้าต่างวินโดว์จะปรากฏแถบแสดงเครื่องมือหรือไอคอนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือไอคอนแปลกๆ
          - หน้าหลักของบราวเซอร์ที่คุณเซ็ตค่าไว้ถูกเปลี่ยนไปในทันที
          - เมื่อคุณเรียก search engine ที่คุณเคยใช้ในการค้นหาขึ้นมา และทำการค้นหา หรือทันทีที่คลิกปุ่ม search เว็บบราวเซอร์จะไปเรียกหน้าเว็บที่แตกต่างไปจากเดิม
          - ฟังก์ชั่นบนคีย์บอร์ดบางอย่างที่เคยใช้งานจะเกิดอาการผิดปกติ เช่น เคยกดปุ่ม tab เพื่อเลื่อนไปยังช่องกรอกข้อความในฟิลด์ถัดไปบนหน้าเว็บจะไม่สามารถใช้ในการเลื่อนตำแหน่งได้เหมือนเดิม เป็นต้น
          - ข้อความแสดงความผิดพลาดของซอฟต์แวร์วินส์โดว์จะเริ่มปรากฏบ่อยมากขึ้น
          - เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณจะทำงานช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสั่งเปิดโปรแกรมหลายโปรแกรม หรือทำงานหลายอย่าง โดยเฉพาะในระหว่างการบันทึกแฟ้มข้อมูล เป็นต้น




การป้องกันสปายแวร์ 
          เพื่อที่จะป้องกันการเข้ามาติดตั้งสปายแวร์อย่างไม่ได้ตั้งใจ แนะนำให้ปฏิบัติตามวิธีการ ดังนี้
          1.ไม่คลิ้กลิ้งบนหน้าต่างเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นมาอัตโนมัติหรือโฆษณาที่ป๊อบอัพขึ้นมา เพราะป๊อบอัพเหล่านั้นมักจะมีตัวสปายแวร์ฝังอยู่ การคลิ้กลิ้งเหล่านั้นจะทำให้สปายแวร์ถูกนำเข้ามาติดตั้งบนเครื่องของคุณผ่านวินโดวส์ได้ในทันที ส่วนวิธีการปิดหน้าต่างป๊อบอัพเหล่านั้นควรคลิ้กที่ปุ่ม “X” บนแถบเมนู Title bar แทนที่จะปิดด้วยคำสั่ง close บนแถบแสดงเครื่องมือมาตรฐานของวินโดว์ (standard toolbar)
          2.ควรเลือกที่คำตอบ “No” ทุกครั้งที่มีคำถามต่างๆ ถามขึ้นมาจากป๊อบอัพเหล่านั้น คุณต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากกับคำถามที่ปรากฏขึ้นมาเป็นไดอะล็อกบ็อกซ์ต่างๆ แม้ว่าไดอะล็อกบ๊อกซ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นตอนคุณกำลังรันโปรแกรมเฉพาะที่คุณจะใช้งาน หรือใช้โปรแกรมอื่นอยู่ก็ตาม ควรปิดหน้าต่างป๊อบอัพเหล่านั้นด้วยวิธีคลิ้กที่ปุ่ม “X” บนแถบเมนู Title bar แทนที่จะปิดด้วยคำสั่ง close บนแถบแสดงเครื่องมือมาตรฐานของวินโดว์ (standard toolbar)
          3.ควรระมัดระวังอย่างมากในการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ที่จัดให้ดาวน์โหลดฟรี เพราะมีหลายเว็บไซต์ที่จัดหาแถบเครื่องมือแบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองหรือมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่เหมาะสำหรับผู้ใช้ให้ปรับแต่งเองไว้ให้ดาวน์โหลดบนอินเทอร์เน็ต สำหรับท่านที่ต้องการใช้คุณสมบัติของเครื่องมือเหล่านี้ ไม่ควรจะดาวน์โหลด เครื่องมือเหล่านี้มาจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ และต้องตระหนักเสมอว่ามันเป็นการปล่อยให้สปายแวร์ผ่านเข้ามายังเครื่องคุณได้ด้วย
          4.ไม่ควรติดตามอีเมล์ลิ้งที่ให้ข้อมูลว่ามีการเสนอซอฟต์แวร์ป้องกันสปายแวร์ เหมือนกับอีเมล์ที่ให้ข้อมูลว่ามีการเสนอซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส ซึ่งอันที่จริงลิ้งเหล่านั้นจะนำไปสู่แนวทางที่ตรงกันข้าม คือเป็นการถามเพื่อให้คุณคลิ้กอนุญาตให้สปายแวร์เข้ามาดำเนินการติดตั้งในเครื่องโดยไม่ถูกขัดขวาง

การลดความเสี่ยงต่อการติดสปายแวร์ 
          หากคุณรู้สึกว่าเครื่องของคุณเสี่ยงต่อการติดสปายแวร์ควรปฏิบัติตามวิธีการต่อไปนี้เพื่อเป็นการลดความเสียงในการติดสปายแวร์
          ปรับแต่งบราวเซอร์ไม่ให้อนุญาตให้รันป๊อบอัพ และคุกกี้ไฟล์ เนื่องจากป๊อบอัพเหล่านี้มักเกิดจากสคริปต์ที่รันโดยวินโดว์หรือเนื้อหาที่มีการรันอัตโนมัติ การปรับแต่งภายในบราวเซอร์เป็นไปเพื่อลดหรือป้องกันไม่ให้สคริบต์หรือแอคทีฟคอนเทนต์ (Active Content) หรือลดจำนวนป๊อบอัพที่มักปรากฏขึ้นเองบ่อยๆ บางบราวเซอร์จะมีเครื่องมือปรับแต่งหรือปิดกั้น หรือจำกัดการป๊อบอัพของวินโดว์ ไฟล์คุกกี้ถาวรบางประเภทก็จัดเป็นสปายแวร์เช่นกัน เพราะมันจะเปิดเผยว่าคุณเข้าสู่เว็บเพจอะไรบ้าง คุณสามารถปรับแต่งค่าความปลอดภัยบนบราวเซอร์ให้อยู่ในระดับที่มีความปลอดภัยสูง หรืออนุญาตเฉพาะไฟล์คุกกี้ของเว็บที่กำลังจะเข้าถึงเท่านั้น (ดูเพิ่มเติมได้ที่ browsing safely: Understanding active content and cookies for more information) หรือ ดูได้จากบทความเผยแพร่ไวรัส เรื่องการปรับค่า Security Zone เพื่อป้องกันไวรัสของโปรแกรม MS Internet Explorer เรียบเรียงโดย : ชวลิต ทินกรสูติบุตร เรียบเรียงเมื่อ : 19 กันยายน 2544 หรือปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
          ขั้นที่ 1 ไปที่ Tool -> Internet option -> Security tab
          ขั้นที่ 2 เมื่อเลือกแถบ Security แล้ว คลิ้กเลือก internet
          ขั้นที่ 3 คลิ้กที่แถบ Custom Level บริเวณด้านล่างของบ็อกซ์  จากนั้นให้คลิ้ก Disable ActiveX Active script , Java Script และ File Download และกดปุ่ม OK

          หมายเหตุ คุณต้องแน่ใจก่อนว่าผลที่เกิดจากการยกเลิกคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่กระทบต่อการเรียกใช้งานระบบผ่านเว็บโดยผู้พัฒนาขององค์กร หากมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นขอให้คุณติดต่อฝ่ายไอทีขององค์กรเป็นผู้ปรับแต่งค่าเหล่านี้ให้แทน

วิธีกำจัดสปายแวร์ 
          - ทำการสแกนเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างถี่ถ้วน ด้วยโปรแกรมแอนติไวรัส ซึ่งแอนติไวรัสบางยี่ห้อจะมีคุณสมบัติในการค้นหาและกำจัดสปายแวร์ แต่แอนติไวรัสอาจไม่สามารถมองหาสปายแวร์พบแบบ real timeได้ ดังนั้นควรกำหนดให้โปรแกรมแอนติไวรัสของคุณทำการสแกนหาไวรัสเมื่อเครื่องอยู่ในสภาวะปลอดจากการใช้งานใดๆ และควรทำการสแกนอย่างถี่ถ้วนและสม่ำเสมอ เช่น วันละครั้งหลังเลิกงาน เป็นต้น
          - ทำการติดตั้งโปรแกรมแอนติสปายแวร์ที่มีลิขสิทธิ์และถูกออกแบบมาเพื่อกำจัดสปายแวร์โดยเฉพาะมีผู้ผลิตหลายรายที่เสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัตินี้ซึ่งจะสแกนหาสปายแวร์บนเครื่องและกำจัดสปายแวร์ออกจากเครื่องได้ สำหรับผลิตภัณฑ์แอนติสปายแวร์ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ LavaSoft’Adaware,Webroot’s SpySweeper, PestPatrol, Spybot Search and Destroy (ตามลิ้งก์ด้านล่าง)
          - หรือเข้าอ่านในเว็บไซต์ ThaiCERT เรื่องวิธีการใช้งานโปรแกรม Ad-aware เขียนโดย คุณกิติศักดิ์ จิรวรรณกูล (http://www.thaicert.nectec.or.th/paper/spyware/AdawareHowToEliminateSpyware.pdf )

ข้อมูลจาก น.ส.ดวงกมล ทรัพย์พิทยากร
ศูนย์ประสานงานการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ ประเทศไทย

การสมัครเป็นสมาชิก Blogger.com


หน้าแรกที่จะต้องสมัครสมาชิก ก็เป็นอย่างที่เห็นข้างบนนี่แหล่ะครับ พร้อมคำอธิบายการสมัครง่ายๆ 3 ขั้นตอน โดยเราสามารถใช้ "อีเมล์" และ "รหัส" ของการเข้าใช้อีเมล์ของ Gmail ได้เลย 


ผมขยายส่วนที่จะสมัครให้ดูใกล้ๆ มีข้อสังเกตุด้านบนขวาสุดนะครับ จะเห็นช่องให้เลือกภาษา ยังไงก็แนะนำว่าเลือก "ภาษาไทย" ไว้ก่อน จะได้ศึกษาคำสั่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ดีใจแทนเพื่อนๆ นะครับ เพราะเมื่อก่อนตอนที่ผมศึกษาเอง ภาษาไทยยังไม่มีครับ และผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอินเตอร์เน็ตสักเท่าไหร่ ก็เลยงมโข่งอยู่ตั้งหลายเดือน

ดังนั้นผมจึงมีความตั้งใจว่าจะทำการอธิบายอย่างละเอียด ใครที่พอรู้ หรือรู้อยู่แล้ว และมาอ่านเจอก็ไม่ว่ากันนะครับว่า ทำไมผมถึงเขียนอธิบายซะเหมือนคนไม่รู้เรื่องอ่าน เพราะผมตั้งใจเขียนให้คนที่ไม่ค่อยมีพื้นฐานได้เขียนบล็อกได้จริงๆ ไม่ใช่เหมือนที่ผมไปอบรมมา คือก็เข้าใจว่าวิทยากร เขาเก่ง แต่สอนเหมือนคนฟังเข้าใจอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ชักยาวไปต่อดีกว่าครับ


เพื่อนๆ ก็ใส่อีเมล์ และรหัส ไปในช่องข้างบน แล้วกดเมนู "ลงชื่อเข้าใช้งาน" เลยก็จะไปสู่หน้าการสร้างบล๊อกได้เลยครับ


หน้าตาของขั้นตอน (step) ที่ 2 ก็เป็นการตั้งชื่อเว็บบล็อก และตั้งชื่อ URL หรือคล้ายโดเมนเนม ตรงนี้ผมขอแนะนำว่า การตั้งชื่อเว็บบล็อก ไม่ต้องไปซีเรียส สามารถเปลี่ยนได้ แต่ที่ซีเรียสคือ การตั้งชื่อ URL หรือ sub domain name นี่แหล่ะครับ เพราะมันแก้ไขไม่ได้ ตั้งแล้วตั้งเลย (ยกเว้นแต่จะลบบล็อกทิ้งเลย)


พอดีผมตั้งใจว่าจะเขียนบทความอีกแนว เกี่ยวกับความรู้ด้านเทคโนโลยี หรือวิทยาศาสตร์พอดี แต่คงสไตล์เดิมนะครับ คืออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ จึงตั้งชื่อว่า "a little of technology" และตั้งชื่อ sub domain name ว่า "alittleoftechnology" และได้ URL เป็น " http://alittleoftechnology.blogspot.com/ " ครับ ส่วนของเพื่อนๆ ก็ลองตั้งกันดู ถ้าให้ง่ายๆ บล็อกแรกที่ผมสร้างชื่อ preeda station ครับ มี URL คือ " http://preedastation.blogspot.com/ " งั้นเราไปที่ขั้นตอนสุดท้ายเลยครับ


หน้าเว็บเพจสุดท้าย หรือขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างบล็อก คือ การเลือก "แม่แบบ" หรือ "theme" หรือ รูปแบบ-หน้าตา ของเว็บบล็อกของเราเอง ซึ่งผมก็ขอแนะนำว่า เลือกๆ ไปก่อนเถอะครับ มันไม่ได้สำคัญอะไรครับ เพราะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ในบทความที่เกี่ยวข้องตอนแนะนำเมนูต่างๆ จะอธิบายให้อีกทีครับ จากนั้นก็กด "ลูกศร-ดำเนินการต่อ" ได้เลยครับ 


จะพบหน้าเว็บเพจ "บล็อกของคุณถูกสร้างเสร็จแล้ว" จากนั้นกดปุ่มลูกศร "เริ่มต้นการเขียนบล็อก" ได้เลยครับ เพื่อเริ่มเขียนบล็อก


เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ ถ้าเพื่อนๆ ยังไม่รู้จะเขียนอะไร ก็ให้มั่วๆ แบบผมไปก่อนนะครับ เช่นคีย์เลยไปก่อน


ผมจึงคีย์เลข 1111111111 เข้าไปที่ "ชื่อเรื่อง" "พื้นที่ให้เขียนบทความ" และใน "ป้ายกำกับ" เพื่อเป็นการทดสอบ แต่ถ้าเพื่อนๆ มีบทความเตรียมไว้อยู่แล้ว ก็ใส่ได้เลยพร้อมตั้งชื่อเรื่องด้วย ส่วนป้ายกำกับควรใส่ "คำสำคัญ" ให้สอดคล้องกับบทความที่เขียน และควรจะมีคำสำคัญหลัก" อยู่ด้วย เช่น
ถ้าเป็นของผม ที่เขียนเรื่องอาการเจ็บป่วยที่เป็นผู้ทุพพลภาพ (http://preedastation.blogspot.com ) ผมจะมีคำสำคัญหลัก ที่เขียนลงใน "ป้ายกำกับ" ว่า "ปรีดา ลิ้มนนทกุล" "ผู้ทุพพลภาพ" ผู้พิการรุนแรง" "ลิ้มนนทกุล" "preeda station" เป็นต้น ส่วนคำสำคัญที่เพิ่มเติม ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผมเขียนบทความเรื่องอะไร ถ้าเชียนเรื่อง แผลกดทับต้องดูแลอย่างไร ก็ควรใส่คำว่า "แผลกดทับ" ไปด้วย เป็นต้น


มื่อกดเมนูสีส้มที่เขียนว่า "เผยแพร่บทความ" จะเห็นหน้าเว็บเพจนี้ก่อนครับ "เผยแพร่บทความบล็อกของคุณเสร็จสมบูรณ์" จากนั้นควรกดเมนู "ดูบล็อก" ก็จะเห็นหน้าเว็บบล็อกของเรา ซึ่งก็มีรปแบบหน้าตาที่เลือกๆ ไปก่อนหน้านี้ ที่ผมแนะนำว่าเดี๋ยวเปลี่ยนทีหลังได้ครับ ก่อนจะไปดูหน้าเว็บบล็อกที่เสร็จแล้ว ขอแนะนำอีก 2 เมนูนะครับ คือ
เมนู "แก้ไขบทความ" ถ้าเรากดเมนูนี้ จะไปสู่บทความที่เราพึ่งจะเขียนบทความมาก่อนหน้ารนี้ เพื่อเข้าไปแก้ไขเนื้อหาในบทความได้ครับ
ส่วนเมนู "สร้างบทความใหม่" ถ้ากดก็จะไปที่หน้าการเขียนบทความใหม่ครับ


เมื่อกดเมนู "ดูบล็อก" ก็จะเห็นหน้าตาเว็บบล็อกของเราเอง ตามตัวอย่างข้างบน ถือว่าจบขั้นตอนการสร้างบล็อกแล้วนะครับ ในบทความต่อไป คงเป็นเรื่อง " " ครับ
ขอบคุณครับ


วิธีการสร้างเว็บไซต์ (Google Site)


ก่อนที่เราจะเริ่มสร้างไซต์ เราจะต้องเป็นสมาชิกของ google ก่อน โดยการไปสมัครขอใช้ Gmail หลังจากนั้นพอเราได้ username มาแล้ว ให้เราไปที่เว็บ Google หลังจากนั้นให้ไปที่ เพิ่มเติม ดังรูปด้านล่าง


แล้วเลือก ไซต์ จะได้ดังรูป


หลังจากนั้นให้คลิกปุ่ม "สร้างไซต์ใหม่" จะปรากฎหน้าต่างโต้ตอบ แล้วคลิก Yes


จะได้ดังรูป


หลังจากนั้นให้กรอกข้อมูลส่วนต่าง ๆ ตามที่ปรากฎ เช่น ตั้งชื่อไซต์ (จะเป็นภาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้) เว็บไซต์ของคุณจะอยู่ที่ URL (Google จะตั้งให้เราอัตโนมัติหากเราไม่ต้องการเปลี่ยนเราจะใช้ตัวที่โปรแกรมตั้งให้ก็ได้หรือหากเราต้องการแก้ไขเราก็ทำการแก้ไขได้เลย โดยจะต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น)


เมื่อเรากรอกข้อมูลครบถ้วนแล้ว ให้คลิกปุ่ม "สร้างเว็บไซต์" (ถ้าสร้างได้จะปรากฎหน้าเว็บไซตืดังรูป)


ขั้นตอนการสมัคร Gmail


การสมัคร gmail มีขั้นตอนดังนี้

บทความนี้มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการสมัคร gmail อย่างแน่นอน เพราะเราจะมีคำแนะนำดี ๆ สำหรับคุณเสมอ  เนื่องจาก Google มีการพัฒนาบริการอยู่ตลอดเวลา ninetechno.com ก็ไม่นิ่งนอนใจ เมื่อ Google พัฒนาบริการมากขึ้น เราก็เขียนบทความละเอียดขึ้น เพื่อให้สมาชิกได้รับข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย สดใหม่อยู่ตลอดเวลา
มาดูกันเลยครับว่าการเปลี่ยนแปลงของการสมัคร Gmail ครั้งนี้มีอะไรบ้าง

1.    เปิดโปรแกรม Web browser ขึ้นมา ในช่อง Address พิมพ์ mail.google.com (ไม่จำเป็นต้องใส่ http หรือ www แต่อย่างใด) แล้วกดปุ่ม Enter จะปรากฏหน้าเว็บไซต์ตามภาพด้านล่าง


2.    คลิกปุ่ม CREATE AN ACCOUNT  เพื่อสร้าง Account  ปรากฏหน้าเว็บเพจตามภาพด้านล่าง



3.  กรอกข้อมูลต่าง ๆ ให้เรียบร้อย หากชื่อ Email มีผู้ใช้งานแล้วจะไม่สามารถใช้ได้ตามภาพด้านล่าง ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ จนกว่าจะไม่ซ้ำกับคนอื่น จึงจะสามารถใช้งานได้


4.    หากแก้ไขผ่านแล้วจะสามารถพิมพ์ password ต่อไปได้ การตั้ง password ควรตั้งอย่างน้อย 8 ตัวอักษร มีตัวเลขปนกับตัวอักษรภาษาอังกฤษด้วยก็ดีครับ  ส่วนที่เหลือใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนตามภาพตัวอย่างได้เลยครับ เสร็จเรียบร้อยคลิกปุ่ม Next



5.    ปรากฎหน้าเว็บเพจให้เราเพิ่มรูปภาพ หากต้องการใส่รูปภาพคลิก ADD PROFILE PHOTO แต่ถ้ายังไม่ต้องการใส่คลิก Next step


6.    แสดงหน้าต้อนรับพร้อมบอกชื่อ Email ของเรา คลิกปุ่ม Continue to Gmail


7.    การสมัคร Gmail ของเราเป็นอันสิ้นสุด โดยจะเข้าสู่ Account ของเราตามภาพตัวอย่างด้านล่าง


เมื่อสมัครการใช้งานเรียบร้อยแล้ว ในตอนต่อไปจะเป็นการปรับแต่ง Gmail เพื่อใช้งานให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดครับ


10 อันดับ Clip Youtube ที่มีผู้ชมมากที่สุดในปีที่ผ่านมา (2012)


นับเป็นอีกหนึ่งปีที่เว็บไซต์วิดีโอออนไลน์อันดับหนึ่งของโลกอย่างยูทูบ (Youtube) ยังคงได้รับความนิยมจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จชนิดที่เรียกว่าฉุดกันไม่อยู่ เพราะต้องยอมรับว่าในแต่ละวัน นักท่องเน็ตแทบทุกคนจะต้องเปิดวิดีโอจากยูทูบไม่ต่ำกว่า 2 คลิปวิดีโอด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งเป็นคลิปวิดีโอที่ได้รับการกล่าวขานว่าโด่งดังแล้ว ก็ยิ่งทำให้เราต้องเกาะติดกระแสด้วยการสรรหาคลิปเหล่านั้นมาดูให้ได้เลยทีเดียว

และในปี 2011 ที่ผ่านมาจนวันนี้ ก็มีวิดีโอที่ได้รับการกล่าวถึงและทำยอดผู้ชมมหาศาลจำนวนมากมาย ล่าสุด เว็บไซต์ยูทูบก็ได้จัดอันดับคลิปวิดีโอที่มียอดผู้เข้าชมมากที่สุดในโลกประจำปีนี้ และประกาศผลออกมาสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยสุดยอดวิดีโอยอดนิยมประจำปีนี้ทั้ง 10 อันดับ เป็นดังนี้


1. Rebecca Black - Friday (OFFICIAL VIDEO) (มากกว่า 180 ล้านวิว)


รีเบคก้า แบล็ค เป็นสาวน้อยวัย 14 ปี ที่แจ้งเกิดในเว็บไซต์ยูทูบ จากการแต่งเพลงที่ชื่อ Friday ขึ้นมาเองและครอบครัวสนับสนุน ลงทุนทำมิวสิควิดีโอให้ แต่แล้วเมื่อมันถูกอัพโหลดขึ้นในยูทูบ เธอกลับได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นเพลงที่ห่วยที่สุดในโลก ด้วยเนื้อเพลงที่ไม่มีเนื้อหาอะไรเลย เช่น "7 โมงเช้าฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า หยิบชาม กินซีเรียล ไปรอรถบัส เจอรถเพื่อนผ่านมา มีเพื่อนนั่งหน้ารถ หลังรถ นั่งตรงไหนดี" เป็นต้น ทำให้คลิปของเธอก็กลายเป็นวิดีโอสุดฮิตที่ใคร ๆ ต่างเผยแพร่ส่งต่อกันไปเพื่อเชยชมกับความ "ห่วย" แต่ใครจะไปเชื่อว่านั่นกลับทำให้เธอโด่งดังชั่วข้ามคืน โดยมียอดเข้าชมมากกว่า 180 ล้านวิว ฮิตฮอตพอ ๆ กับคลิปของจัสติน บีเบอร์ ตอนแจ้งเกิดใหม่ ๆ เลยทีเดียว


Rebecca Black - Friday (OFFICIAL VIDEO)




2. Ultimate Dog Tease (74 ล้านวิว)


เป็นคลิปวิดีโอสัตว์เลี้ยงที่ฮิตฮอตกันสุด ๆ เมื่อเจ้าหมาตัวหนึ่งขยับปากพูดได้อย่างที่ไม่ต้องใช้โปรแกรมอะไรช่วย เหมือนจะพูดคุยกับเจ้าของรู้เรื่อง สุดท้ายเจ้าของก็เลยหยิบมาใส่เสียงพากย์เข้าไปเสียเลย ทำเหมือนว่าเจ้าหมาตัวนี้กำลังถูกเจ้าของแกล้งให้สติแตกเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ผลที่ออกมาก็คือ เนียนมาก ๆ ฮาและน่ารักน่าชังสุด ๆ


Ultimate Dog Tease





3. Jack Sparrow (feat. Michael Bolton) (60 ล้านวิว)


เป็นคลิปวิดีโอที่ฮาโดนใจใครหลาย ๆ คน เมื่อหนุ่ม ๆ กลุ่มนี้ได้แต่งเพลงล้อกัปตันแจ็คสแปโรว์จากหนังเรื่อง เดอะไพเรทออฟแคริบเบียน งานนี้ลองไปฟังดู ความฮาเขากินขาดเลยล่ะ


Jack Sparrow (feat. Michael Bolton)




4. Talking Twin Babies (56 ล้านวิว)


เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่เคยชมคลิปนี้ เพราะมันถูกเผยแพร่ไปทั่วเครือข่ายสังคมออนไลน์เลยทีเดียว แหม ก็จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เมื่อเจ้าหนูฝาแฝดทั้งสองคนนี้เถียงกันน่ารักน่าชังซะขนาดนั้น งานนี้ถึงแม้ว่าผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ จะแปลไม่ออกว่าเจ้าหนูคุยอะไรกัน แต่คะแนนความน่ารักน่าชังเอาไปเต็ม 10 เลยไม่แปลกที่จะติดโผขึ้นมาเป็นอันดับที่ 4 คลิปวิดีโอยอดนิยมของปีนี้


Talking Twin Babies




5. Nyan Cat (53 ล้านวิว)


เอ่อ.. อย่าเพิ่งอึ้งหรือแปลกใจอะไรเลย เพราะจะบอกว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ว่าเจ้าคลิปวิดีโอแมวกระโดดตดเป็นรุ้งนี้มันน่าสนใจและสนุกสนานตรงไหน แต่มันเป็นไปแล้ว และมันเป็นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ คว้ายอดผู้ชมไปได้ถึง 53 ล้านวิว





6. Look At Me Now - Chris Brown ft. Lil Wayne, Busta Rhymes (Cover by @KarminMusic) (49 ล้านวิว)


เธอคือหญิงสาวมากความสามารถที่ได้รับการยอมรับในหมู่ผู้ชมยูทูบมากที่สุด คลิปนี้ไม่มีคำอธิบายค่ะ ถ้าใครสงสัยว่าเธอติดโผขึ้นมาเป็น 1 ใน 10 คลิปยอดนิยมได้อย่างไร ไปชมกันเลยดีกว่า


Look At Me Now - Chris Brown ft. Lil Wayne, Busta Rhymes




7. The Creep (feat. Nicki Minaj & John Waters) (48 ล้านวิว) http://youtu.be/tLPZmPaHme0


ผลงานเพลงของ The Lonely Island ที่ได้ใจผู้ชมไปมากมายก่ายกอง ก็แหงล่ะ ใครเห็นใครก็ต้องชื่นชมกับไอเดียมิวสิควิดีโอที่ครีเอทีฟสุด ๆ บวกกับท่าเต้นแปลกประหลาด และหน้าตาสุดน่าสะพรึ่งแล้ว ก็เอาใจไปเลย



The Creep (feat. Nicki Minaj & John Waters)




8. Maria Aragon - Born This Way (Cover) by Lady Gaga (45 ล้านวิว)

หนูน้อยมาเรีย แอรากอน กลายเป็นดาวดังในโลกออนไลน์จากการคัฟเวอร์เพลง Born This Way ของแม่สาวสุดมั่น เลดี้ กาก้า ซึ่งเธอทั้งเล่นคีย์บอร์ดและร้องออกมาได้ดี ได้ใจใคร ๆ ไปหลายคนเลยทีเดียว เก่งจังนะ ตัวแค่เนี๊ยะ!!



Maria Aragon - Born This Way (Cover) by Lady Gaga




9. The Force: Volkswagen Commercial (45 ล้านวิว)


เป็นคลิปวิดีโอที่มีคนแชร์มากที่สุดเลยทีเดียว สำหรับโฆษณาตลกของโฟล์คสวาเก้นที่จับเด็กน้อยน่ารักมาใส่ชุดดาร์กเวเดอร์ ที่อยากจะมีพลังควบคุมสิ่งของรอบตัวได้ น่ารักแค่ไหน ไปดูกัน


The Force: Volkswagen Commercial




10. Cat mom hugs baby kitten (37 ล้านวิว)


คลิปวิดีโอแม่แมวสวมกอดเจ้าเหมียวน้อยไว้ในอ้อมอก คงกลายเป็นคลิปวิดีโอที่น่ารักที่สุดสำหรับใครหลาย ๆ คนในปีนี้ ก็แหม น่ารักน่าชังซะแบบนั้น จะไม่ให้ติดอันดับได้ยังไง จริงไหม?

10 อันดับ Social Network ในปี 2012


        www.toptenreviews.com เว็บไซท์จัดอันดับสิบอันดับที่ดีที่สุดของแทบทุกๆอย่างบนโลกนี้ได้ทำการจัดอันดับ Social Network ที่ดีที่สุดในปี 2012 นี้ โดยจัดอันดับตามประสิทธิภาพการใช้งานในด้านต่างๆดังนี้

มาดูเกณฑ์ที่ใช้ตัดสินกันดีกว่า..

Profiles

        เป็นส่วนสำคัญของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เพราะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงตัวผู้ใช้ (เจ้าของโปรไฟล์) มีส่วนที่เป็นรูปประจำตัว มีส่วนที่ให้แสดงความคิดเห็นได้ มีแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ สามารถแก้ไขสกิน ตกแต่งส่วนต่าง ๆ ได้

Security

       อินเตอร์เน็ตเป็นสถานที่อันตราย เพราะอาจจะมีมิจฉาชีพเอาข้อมูลส่วนตัวเราไปใช้ได้ ฉะนั้นการโพสข้อมูลส่วนตัว ควรจะมีระบบรักษาความปลอดภัย สามารถตั้งค่าการเข้าถึงข้อมูลได้ มีการบล๊อคคน และส่งปัญหาถึงผู้พัฒนาได้

Networking Features

        โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คที่ดีควรจะให้ผู้ใช้ได้โพสสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น อัพเดทสถานะ โพสรูปภาพ โพสเพลง โพสวิดิโอ มีระบบกลุ่ม ฯลฯ

Search

        จุดประสงค์หลักของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คคือการค้นหาเพื่อน และการพัฒนาความสัมพันธ์  โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คที่ดัง ๆ มักจะให้ผู้ใช้ได้ค้นหาผู้ใช้คนอื่นได้ง่ายและปลอดภัย โดยอาจจะค้นหาจากชื่อ เมือง โรงเรียน หรืออีเมลล์

Help/Support

        โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คส่วนใหญ่จะมีคำแนะนำการใช้ มีส่วนที่ให้ติดต่อระหว่างผู้ใช้กับผู้พัฒนา


ถ้าพร้อมแล้วก็ … มาดูกัน !

(คลิกที่รูปเพื่อดูรูปเต็มๆ)




เป็นไปตามคาดครับ Facebook ครองอันดับ 1 … แต่ที่น่าแปลกใจมากคือ twitter ที่เราคุ้นเคยนั้นไม่ติดอันดับครับ

ขอบคุณแหล่งข้อมูลแน่น ๆ จาก social-networking-websites-review.toptenreviews

เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Online social network) คืออะไร



        ความหมายของเครือข่ายสังคม (Socail network) มีผู้อธิบายไว้หลายท่านดังนี้
ประดนเดช นีละคุปต์ (2551) อธิบายว่า เป็นการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันโดยทางใดทางหนึ่ง โดยอาศัยเทคโนโลยีเว็บ
อนงค์นาฎ ศรีวิหค (2551) อธิบายว่า เป็นการเชื่ยมโยงประชากรเข้าด้วยกัน
อิทธิพล ปรีติประสงค์ (2552 :http://gotoknow.org/blog/virtualcommunitymanagement/288469 ) กล่าวว่า



“เครือข่ายสังคมออนไลน์ เป็นปรากฎการณ์ของการเชื่อมต่อระหว่างบุคคลในโลกอินเทอร์เน็ต และ ยังหมายรวมถึง การเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ เข้าด้วยกัน ในแง่ของการให้ความหมายของคำว่า “เครือข่ายสังคมออนไลน์” นั้น คุณเก่ง หรือ กติกา สายเสนีย์ ในเว็บบล็อก http://keng.com/2008/08/09/what-is-social-networking/ ได้ให้ความหมายที่น่าสนใจว่า

        Social Network คือ การที่ผู้คนสามารถทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่าเป็น เว็บ Social Network ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่นเอง ตัวอย่างของเว็บประเภทที่เป็น Social Network เช่น Digg.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เรียกได้ว่าเป็น Social Bookmark ที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง และเหมาะมาก ที่จะนำมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยในเว็บไซต์ Digg นี้ ผู้คนจะช่วยกันแนะนำ url ที่น่าสนใจเข้ามาในเว็บ และผู้อ่านก็จะมาช่วยกันให้คะแนน url หรือข่าวนั้น ๆ เป็นต้น

        ในแง่ของการอธิบายถึงปรากฎการณ์ของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ยังมีการอธิบายผ่านคำว่า Social network service หรือ SNS เป็นการเน้นไปที่การสร้างชุมชนออนไลน์ซึ่งผู้คนสามารถที่จะแลกเปลี่ยน แบ่งปันตามผลประโยชน์ กิจกรรม หรือความสนใจเฉพาะเรื่อง ซึ่งอาศัยระบบพื้นฐานของเว็บไซต์ที่ทำให้มีการโต้ตอบกันระหว่างผู้คนโดยแต่ละเว็บนั้นอาจมีการให้บริการที่ต่างกัน เช่น email กระดานข่าว และในยุคหลังๆมานี้ เป็นการแบ่งปันพื้นที่ให้สมาชิกเป็นเจ้าของพื้นที่ร่วมกันและแบ่งปันข้อมูลระหว่างโดยผู้คนสามารถสร้างเว็บเพจของตนเองโดยอาศัยระบบซอฟท์แวร์ที่เจ้าของเว็บให้บริการ

        ในขณะเดียวกัน Howard Rheingold ได้เขียนคำจำกัดความของคำว่า virtual Community ในหนังสือ virtual communy ว่าหมายถึง การสื่อสาร และ ระบบข้อมูล ของบรรดาเครือข่ายสังคม ซึ่งแบ่งปันในผลประโยชน์ร่วมกัน ความคิด ชิ้นงาน หรือ ผลลัพธ์บางประการที่มีการโต้ตอบกันผ่านสังคมเสมือนจริง ซึ่งไม่ถูกผูกพันโดยเวลา พรมแดน เขตแดนของหน่วยงาน และในทุกๆที่ที่บุคคลสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันผ่านระบบออนไลน์ (คัดลอกจาก Virtual community )

        ในขณะที่ การแบ่งหมวดหมู่ของเครือข่ายสังคมออนไลน์ อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ได้จำแนกหมวดหมู่ หรือ ประเภทของเครือข่ายสังคมออนไลน์ไว้ใน บทบาทของ Social Network ในอินเทอร์เน็ตยุค 2.0 โดยพิจารณาจากเป้าหมายของการเข้าเป็นสมาชิกในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้เป็น ๕ กลุ่มใหญ่ๆ กล่าวคือ

    (๑) Identity Network คือ การแสดงตัวตนและภาพลักษณ์ของตน เช่น http://www.hi5.com/  http://www.facebook.com/
    (๒) Interested Network เป็นการรวมตัวกันโดยอาศัย“ความสนใจ” ตรงกัน เช่น Digg.com , del.icio.us
    (๓) Collaboration Network เป็นกลุ่มเครือข่ายที่ร่วมกัน “ทำงาน” ยกตัวอย่างเช่น http://www.wikipedia.org/
    (๔) Gaming/Virtual Reality หรือ โลกเสมือน ในบางครั้งเราเจอคำว่า second life ซึ่งเป็นลักษณะของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นการสวมบทบาทของผู้เล่นในชีวิตจริงกับตัวละครในเกม และ
    (๕) Professional Network ใช้งานในอาชีพ

อ้างอิง http://about-kmrb.blogspot.com/2009/10/online-social-network.html

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อินเทอร์เน็ต คืออะไร




อินเทอร์เน็ต(Internet) คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายขนาดเล็กมากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวทั้งโลก หรือเครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้มา 2 คำ คือ คำว่า Interและคำว่า net ซึ่ง Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง และคำว่า Net มาจากคำว่า Network หรือเครือข่าย เมื่อนำความหมายของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย IP (Internet protocal) Address คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อกันใน internet ต้องมี IPประจำเครื่อง ซึ่ง IP นี้มีผู้รับผิดชอบคือ IANA (Internet assigned number authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ควบคุมดูแล IPV4 ทั่วโลก เป็นPublic address ที่ไม่ซ้ำกันเลยในโลกใบนี้ การดูแลจะแยกออกไปตามภูมิภาคต่าง ๆ สำหรับทวีปเอเชียคือ APNIC (Asia pacific network information center) แต่การขอ IP address ตรง ๆ จาก APNIC ดูจะไม่เหมาะนัก เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เชื่อมต่อด้วย Router ซึ่งทำหน้าที่บอกเส้นทาง ถ้าท่านมีเครือข่ายของตนเองที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ก็ควรขอ IP address จาก ISP (Internet Service Provider)เพื่อขอเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน ISP และผู้ให้บริการก็จะคิดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อตามความเร็วที่ท่านต้องการ เรียกว่า Bandwidth เช่น 2 Mbps

IP address คือเลข 4 ชุด หรือ 4 Byte เช่น 203.158.197.2 หรือ 202.29.78.12 เป็นต้น แต่ถ้าเป็นสถาบันการศึกษาโดยทั่วไปจะได้ IPมา 1 Class C เพื่อแจกจ่ายให้กับ Host ในองค์กรได้ใช้ IP จริงได้ถึง 254 เครื่อง เช่น 203.159.197.0 ถึง 203.159.197.255 แต่ IP แรก และ IPสุดท้ายจะไม่ถูกนำมาใช้ จึงเหลือ IP ให้ใช้ได้จริงเพียง 254 หมายเลข

1. Class C หมายถึง Subnet mask เป็น 255.255.255.0 และแจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุด 254
2. Class B หมายถึง Subnet mask เป็น 255.255.0.0 และแจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุด 66,534
3. Class A หมายถึง Subnet mask เป็น 255.0.0.0 และแจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุด 16,777,214

ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต
1. เป็นแหล่งข้อมูลที่ลึก และกว้าง เพราะข้อมูลถูกสร้างได้ง่าย แม้นักเรียน หรือผู้สูงอายุก็สร้างได้
2. เป็นแหล่งรับ หรือส่งข่าวสาร ได้หลายรูปแบบ เช่น mail, board, icq, irc, sms หรือ web เป็นต้น
3. เป็นแหล่งให้ความบันเทิง เช่น เกม ภาพยนตร์ ข่าว หรือห้องสะสมภาพ เป็นต้น
4. เป็นช่องทางสำหรับทำธุรกิจ สะดวกทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย เช่น e-commerce หรือบริการโอนเงิน เป็นต้น
5. ใช้แทน หรือเสริมสื่อที่ใช้ติดต่อสื่อสาร ในปัจจุบัน โดยเสียค่าใช้จ่าย และเวลาที่ลดลง
6. เป็นช่องทางสำหรับประชาสัมพันธ์สินค้า บริการ หรือองค์กร

ประวัติความเป็นมา

1. ประวัติในระดับนานาชาติ

- อินเทอร์เน็ต เป็นโครงการของ ARPAnet(Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2503(ค.ศ.1960)

- พ.ศ.2512(ค.ศ.1969) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อจาก ARPA เป็นDARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง และในปีพ.ศ.2512 นี้เองได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จาก 4 แห่งเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลองแอนเจลิส สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาร์บารา และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีพ.ศ.2518(ค.ศ.1975) จึงเปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบให้แก่ หน่วยงานการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ(Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก IAB(Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ใน Internet IETF(Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับ Internet ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัคร ทั้งสิ้น

- พ.ศ.2526(ค.ศ.1983) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตได้ว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ TCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ทุก platform และสื่อสารกันได้ถูกต้อง
- การกำหนดชื่อโดเมน(Domain Name System) มีขึ้นเมื่อ พ.ศ.2529(ค.ศ.1986) เพื่อสร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย(Distribution database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บ www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ หรือไม่ ที่ www.thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของเว็บที่ลงท้ายด้วย thทั้งหมด เป็นต้น

- DARPA ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบ internet เรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2533(ค.ศ.1990) และให้ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ(National Science Foundation - NSF) เข้ามาดูแลแทนร่วม กับอีกหลายหน่วยงาน

- ในความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ต่าง ๆ ผู้ตัดสินว่าสิ่งไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รับการยอมรับ คือ ผู้ใช้ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ที่ได้ทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้น และจะใช้ต่อไปหรือไม่เท่านั้น ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามนั้นต่อไป เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงระบบพื้นฐาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

2. ประวัติความเป็นมาอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
- อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อปีพ.ศ.2530(ค.ศ.1987) โดยการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ระหว่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(http://www.psu.ac.th)และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (http://www.ait.ac.th) ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย(http://www.unimelb.edu.au) แต่ครั้งนั้นยังเป็นการเชื่อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์ (Dial-up line) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ช้า และไม่เสถียร จนกระทั่ง ธันวาคม ปีพ.ศ.2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC) ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย 6 แห่ง เข้าด้วยกัน (Chula, Thammasat, AIT, Prince of Songkla, Kasetsart and NECTEC) โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่า ไทยสาร(http://www.thaisarn.net.th) และขยายออกไปในวงการศึกษา หรือไม่ก็การวิจัย การขยายตัวเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเดือนกันยายน ปี พ.ศ.2537 มีสถาบันการศึกษาเข้าร่วมถึง 27 สถาบัน และความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตของเอกชนมีมากขึ้น การสื่อสารแห่งประเทศไทย (http://www.cat.or.th) เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน สามารถเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP - Internet Service Provider) และเปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไป สามารถเชื่อมต่อ Internet ผ่านผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย